บทความนี้ได้รับการช่วยเหลือจาก Rover AI, ChatGPT-4o mini, และ Gemini 1.5 Flash โดยสอบถามเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
หัวข้อ
วิทยานิพนธ์หรืองานเขียนจากผลการศึกษาวิจัย เป็นคำเรียกสำหรับงานเขียนในระดับปริญญาโทแผน ก หรืออาจจะเรียกในระดับปริญญาเอกได้ด้วยเช่นกัน (ขึ้นกับข้อกำหนดของทางสถาบันว่าใช้คำเรียกแบบใด) โดยวิทยานิพนธ์นั้นมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหน้า (Front Matter) ส่วนเนื้อหา (Main Body) และส่วนท้าย (Back Matter) โดยส่วนที่ผู้เขียนสามารถปรับรูปแบบได้ตามความเหมาะสมจะเป็นส่วนเนื้อหา
องค์ประกอบของเนื้อหาวิทยานิพนธ์แบบทั่วไปหรือแบบดั้งเดิม (Traditional Thesis)
เมื่อพูดถึงการเขียนวิทยานิพนธ์โดยทั่วไป เรามักจะนึกถึงรูปแบบการเขียนที่มีเนื้อหาแบ่งเป็น 5 - 6 บท โดยมักจะมีหัวข้อดังนี้
บทนำ (Introduction) โดยกล่าวถึงที่มาและความสำคัญ งานวิจัยที่ผ่านมาพอสังเขป ระบุคำถามวิจัย วัตถุประสงค์ของงานวิจัย และอาจระบุถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review) เป็นการสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ เพื่อปูพื้นฐานให้กับผู้อ่านได้เข้าใจความรู้เฉพาะด้านของงานวิทยานิพนธ์มากขึ้น
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ระบุขั้นตอนและกระบวนการที่ใช้ในการวิจัย โดยเป็นบทที่สำคัญมากบทหนึ่งเนื่องจากเป็นตัวกำหนดทิศทางของผลการวิจัยที่จะศึกษาได้
ผลการวิจัย (Results) นำเสนอผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย
การอภิปรายผล (Discussion) วิเคราะห์และตีความผลการวิจัย เหมือนหรือแตกต่างจากวรรณกรรมที่ผ่านมา เหตุใดจึงเหมือนหรือต่าง และมีผลมาจากปัจจัยใด
บทสรุปและข้อเสนอแนะ (Conclusion and Recommendations) สรุปผลการวิจัย รวมไปถึงเสนอแนะแนวทางสำหรับการวิจัยในอนาคต
ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการที่ผู้เรียนระดับบัณฑิตศึกษาจะจบการศึกษาได้ มหาวิทยาลัยหรือสถาบันจะกำหนดให้นำส่วนหนึ่งของเนื้อหาในเล่มวิทยานิพนธ์ไปเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการ โดยจะต้องทำเป็นรูปแบบบทความตามที่ทางวารสารวิชาการนั้น ๆ กำหนด หากต้องเขียนงานในรูปแบบบทความส่งตีพิมพ์อยู่แล้ว การนำบทความที่เราเขียนเองนั้นมารวมกันเป็นเล่มวิทยานิพนธ์ น่าจะเป็นการประหยัดเวลาในการทำรูปเล่มวิทยานิพนธ์มากกว่า ซึ่งการเขียนวิทยานิพนธ์ในลักษณะนี้เรียกว่า Thesis by Publication หรือวิทยานิพนธ์แบบรวมบทความ
Thesis by Publication หรือวิทยานิพนธ์แบบรวมบทความ
Thesis by Publication หรือวิทยานิพนธ์แบบรวมบทความ เป็นรูปแบบการทำวิทยานิพนธ์อีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะในระดับปริญญาเอกที่มีข้อบังคับให้ตีพิมพ์บทความวิชาการจำนวนตั้งแต่ 2 บทความขึ้นไป ตามข้อกำหนดในการจบการศึกษาหรือข้อกำหนดของทุนการศึกษาหรือทุนวิจัย โดยแทนที่จะเขียนวิทยานิพนธ์เล่มเดียวแบบดั้งเดิม นักศึกษาจะต้องตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิชาการที่มีคุณภาพหลายบทความ แล้วนำมารวมเป็นเล่มวิทยานิพนธ์ 1 เล่ม
องค์ประกอบหลักของการเขียนวิทยานิพนธ์แบบรวมบทความ จะแตกต่างจากวิทยานิพนธ์แบบดั้งเดิมที่ส่วนเนื้อหา โดยจะมีการแบ่งหัวข้อหลัก ๆ เป็น 3 หัวข้อดังนี้
1. บทนำภาพรวม (Overall Introduction) เป็นการอธิบายที่มา วัตถุประสงค์ และกรอบการวิจัย แบบเป็นภาพรวมของงานวิจัยที่ได้นำไปตีพิมพ์กับวารสารแล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมของงานวิจัยเรามากขึ้น จำเป็นจะต้องเขียนให้เชื่อมโยงทุกบทความที่นำมาใส่ในรูปเล่มวิทยานิพนธ์ให้สอดคล้องและเป็นเรื่องเดียวกัน
2. บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์หรือตอบรับให้ตีพิมพ์ โดยส่วนมากจะเริ่มทำวิทยานิพนธ์ในรูปแบบนี้เมื่อมีการตีพิมพ์ผลงานตั้งแต่ 2 บทความขึ้นไป หรือขึ้นกับข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย โดยมักจะจัดทำเป็น 1 บทความต่อ 1 chapter
3. บทสรุปและการอภิปรายผล (Overall Discussion & Conclusion) เชื่อมโยงผลการวิจัยทั้งหมดด้วยการอภิปรายผล และสรุปสิ่งที่ได้จากงานวิจัยนี้แบบองค์รวม
จะเห็นว่าการเขียนวิทยานิพนธ์รูปแบบรวมบทความช่วยลดเวลาในการจัดเตรียมเนื้อหาส่วนกลาง แต่ผู้เขียนก็จำเป็นจะต้องเขียนบทนำภาพรวม และบทสรุปของงาน ที่สามารถบรรยายถึงความเชื่อมโยงกันของบทความที่ได้มีการตีพิมพ์ไปแล้ว ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เปรียบเทียบการเขียนวิทยานิพนธ์แบบดั้งเดิม หรือแบบรวมบทความ
หัวข้อเปรียบเทียบ | วิทยานิพนธ์แบบดั้งเดิม | วิทยานิพนธ์แบบรวมบทความ |
โครงสร้าง | ประกอบด้วยบทที่เขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด เช่น บทนำ, การทบทวนวรรณกรรม, ระเบียบวิธีวิจัย, ผลการวิจัย, อภิปรายผล และสรุปผลการศึกษา | รวบรวมบทความวิจัยที่ตีพิมพ์หรือเตรียมส่งตีพิมพ์ พร้อมบทนำและบทสรุปที่เชื่อมโยงบทความเข้าด้วยกัน |
การเน้นเนื้อหา | เน้นความครบถ้วนในเชิงเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านของงานวิจัย | เน้นความลึกซึ้งของหัวข้อย่อยในแต่ละบทความ และแสดงความเชื่อมโยงของงานวิจัยโดยรวม |
ความยืดหยุ่นในการเผยแพร่ | ส่วนใหญ่จะเผยแพร่ในรูปของวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มหลังจบการศึกษา | แต่ละบทความอาจได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการก่อนสำเร็จการศึกษา ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบทความทางวิชาการ |
ข้อดี | - มีโครงสร้างที่ชัดเจน เข้าใจง่าย - เหมาะกับการอธิบายงานวิจัยอย่างเป็นระบบและครบถ้วน | - ส่งเสริมการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ - สร้างผลงานที่สามารถตรวจสอบและอ้างอิงได้ - มีความน่าเชื่อถือเนื่องจากได้รับการ peer review โดยผู้ทรงคุณวุฒิของวารสารแล้ว |
ข้อจำกัด | - ใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการเขียนให้ครบถ้วน - การเผยแพร่มักเกิดขึ้นหลังจบการศึกษา หรือแยกเขียนเป็นบทความตามรูปแบบวารสารวิชาการ | - ต้องอาศัยทักษะการเขียนบทความในวารสารระดับสูง - ความเชื่อมโยงของเนื้อหาต้องชัดเจน ไม่กระจัดกระจาย - ใช้เวลานานในการ peer review |
การประเมินคุณภาพ | ประเมินจากความสมบูรณ์และความสอดคล้องของเนื้อหาในวิทยานิพนธ์ | ประเมินจากคุณภาพของบทความ เช่น วารสารที่ตีพิมพ์และการเชื่อมโยงของบทความ |
ความเหมาะสมกับสาขา | เหมาะสำหรับทุกสาขา โดยเฉพาะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ | เหมาะกับสาขาที่เน้นการวิจัยและ การตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการ เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การแพทย์ |
ข้อกำหนดจากมหาวิทยาลัย | ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ | ขึ้นอยู่กับนโยบายของมหาวิทยาลัยและข้อกำหนดในการตีพิมพ์บทความ |
ทั้งนี้การเลือกรูปแบบการเขียนวิทยานิพนธ์นั้นขึ้นกับของกำหนดของทางสถาบัน โดยจะต้องตรวจสอบก่อนที่จะเริ่มเขียนเพื่อจะสามารถวางแนวทางและการเล่าเรื่องได้
หากเขียนวิทยานิพนธ์รูปแบบรวมบทความ สามารถนำเข้าระบบไอทีสิสได้หรือไม่
ระบบไอทีสิสสร้างรูปเล่มวิทยานิพนธ์ที่กำหนดรูปแบบเฉพาะส่วนหน้า (Front Matter) และส่วนท้าย (Back Matter) โดยวิทยานิพนธ์รูปแบบรวมบทความนั้นสามารถนำเข้าระบบไอทีสิสได้เนื่องจากส่วนเนื้อหา (Main Body) สามารถจัดทำรูปแบบได้ตามที่ผู้เขียนต้องการ ทั้งนี้อาจต้องระมัดระวังตอนนำเนื้อหาจากไฟล์บทความมาวางที่เทมเพลต เนื่องจากอาจมีความแตกต่างของรูปแบบอักษรและสไตล์ที่ใช้งาน ซึ่งสามารถปรึกษากับทีมงานไอทีสิสได้ผ่านบริการ iThesis Professional Services
สนใจบริการ iThesis Professional Services ติดต่อทีมงานได้ที่ https://facebook.com/ithesis.co
สามารถกดเพื่อเพิ่มเพื่อนได้ที่นี่ 👉 https://lin.ee/3gAUHWL
ช่องทางติดต่อสอบถามเกี่ยวกับระบบไอทีสิส
Email: contact@ithesis.co
Comments